สวัสดีค่ะ เพื่อนๆทุกคนค่ะ
ในเมื่อมีเว็บของตนเองแล้ว ก็เลยตั้งหัวข้อที่ตัวเองอยากจะเขียนไว้บ้าง เผื่อใครผ่านไปผ่านมา แวะมาอ่านเล่นๆค่ะ
เริ่มเรื่องแรกด้วยเรื่อง "เมื่อฟ้าส่งมาให้เกิดเป็นคนอัมพวา"
พ่อแม่ฝนก็เป็นคนอัมพวาค่ะ บ้านที่ฝนทำโฮมสเตย์อยู่นี้ เป็นที่ดินสมัยคุณย่าทวด ตกมาเป็นของคุณย่า มาเป็นของคุณพ่อฝน ค่ะ สมัยก่อนตอนฝนยังเด็กๆ คุณย่าก็แก่มากแล้ว อาชีพเดิมของท่านก็คือ การทำสวนตาลมะพร้าว และทำขนม พายเรือขายไปตามคลองต่างๆค่ะ พื้นที่ทำสวนที่บ้านไม่มากนัก เรียกว่า ทำพอกินพออยู่ ตามแบบของคนโบราณค่ะ นึกถึงไปตอนเด็กๆ ยังจำได้ว่า คุณย่าให้นั่งหัวเรือ พายเรือ ไปขายมะพร้าวบ้าง ส่วนของเล่นตอนเด็กๆก็คือเรือพายของคุณย่า ที่จอดไว้ใต้ถุนบ้าน เอามาพายเป็นเรือบก ร้องขายขนม ขายผลไม้ .."ขนม แม่เอ้ย หวาน มัน อร่อยจ้า"(สนุกแบบเด็กบ้านนอกแหละค่ะ)
สมัยเรียนมัธยมปลายก็เข้าไปเป็น เด็กอาสาพาเที่ยวอยู่ในอุทยานร.2 ช่วงวันเสาร์อาทิตย์และตอนปิดเทอม จนกระทั่งจบ มัธยมศึกษาปีที่ 6 ฝนสังเกตแบบเด็กๆว่า ผู้คนที่เข้ามาเที่ยวอุทยานร.2 ก็ไม่น้อย แล้วผู้คนเหล่านี้ต่างก็ไปเช้าเย็นกลับ หรือไม่ก็ไปตลาดน้ำดำเนิน ไม่มีที่เที่ยว ที่แวะอื่นๆอีก ผ่านอัมพวามา แล้วก็ผ่านอัมพวาไป ผู้คนในอัมพวาเองก็เริ่มน้อยลง น้อยลง บ้านไม้ตามเรือนแถวริมน้ำ บ้างก็เป็นบ้านเช่าสำหรับคนจน บ้างก็ปิด บ้างก็ค้าขายตามประสาพออยู่พอกิน แต่เห็นจะปิดล๊อคกุญแจสะส่วนใหญ่ อัมพวา เริ่มเงียบลง เงียบลง เด็กรุ่นใหม่ มาเรียนกรุงเทพ ก็ทำงานกรุงเทพ เพราะที่อัมพวาไม่มีอะไรให้ทำ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้...ทั้งๆที่ศักยภาพของอัมพวา มันมีพร้อมทุกอย่างทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมและดนตรี
และแล้ว ความพร้อมทั้งหลายที่มีอยู่ มันก็ทำให้เกิดชีวิตชีวาใหม่อีกครั้งที่อัมพวา ฝนขอยกนิ้วให้นายกเทศมนตรีเทศบาลอัมพวาคนเก่งคนนี้ก่อน คือร้อยโทพัชโรดม อุนสุวรรณ หากไม่มีท่าน ก็คงไม่มีตลาดน้ำอัมพวาที่โด่งดังในวันนี้(ถึงวันนี้เมืองมันจะเปลี่ยนไปมาก ก็ยกเอาเรื่องเมืองเปลี่ยนไปคุยกันวันหลังแล้วกันนะ) และพื้นที่ที่ใกล้กับอุทยานร.2 เรือนแถวริมน้ำ อัมพวาชัยพัฒนานุรักษ์ ทุกอย่างลงตัวผสมผสาน กันเป็นอย่างดี อัมพวา ก็เลยดูจะโตเร็ว ด้วยสื่อต่างๆ ทั้ง ทีวีแทบทุกช่อง ทุกรายการ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และอินเตอร์เน็ต ยิ่งในยุคโลกไร้พรหมแดนเช่นนี้ ทำให้ผู้คนหลั่งไหลกันไป "อัมพวา" โอ้.. เมืองเล็กๆ ของจังหวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย กลับมีผู้คนมาเยือนมากมาย และดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งก็มีพวกผู้คนต่างถิ่น ที่เห็นอัมพวาเป็น ทำเลค้าขาย ในบางส่วนของที่นี่ก็อาจจะกลายเป็นคนกรุงเทพขายของให้คนกรุงเทพ คนอัมพวาเองบางส่วนก็ยังงง งง กับสภาพการณ์อัมพวาหน่าแน่น บางส่วนก็หาอาชีพใหม่ทำ บ้างที่ส่งลูกหลานมาเรียนกรุงเทพ ก็กลับไปช่วยที่บ้านค้าขาย ทำบ้านพักบ้าง ร้านขายของที่ระลึกบ้าง หากมีดีเรื่องทำอาหารทำขนม ก็เอาใส่เรือมาขาย หากพอมีที่ดิน หรือบ้านก็ทำเป็นโฮมสเตย์ให้พัก
ฝนเองก็เห็นว่า บ้านฝนไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวของตำบลอัมพวา ตัวบ้านเองก็อยู่ในสวน ริมคลอง เรียกว่า บรรยากาศร่มรื่น ไม่ร้อนมาก ทุกคนในครอบครัวก็เต็มใจที่จะเปิดบ้านให้เพื่อนๆที่อยากมาเยือนอัมพวา เราจึงตกลงกันที่จะเปิดโฮมสเตย์โดยแบ่งหน้าที่กันทำในครอบครัว เมื่อประมาณปลายปี 2550 จนทุกวันนี้ก็มีเพื่อนๆผู้มาเยือนแวะเวียนกันมาทั้งวันเสาร์อาทิตย์และวันธรรมดา ทั้งคนไทยและต่างชาติ(ไอ้ภาษาอังกฤษของเราก็แค่งูๆปลาๆ นี้แหละ ก็แค่พอสื่อสารได้) เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็จะพบบ้านฝนจากในอินเตอร์เน็ต เมื่อไปแล้วก็กลับมาบอกต่อ บ้างก็ไปแล้วไปอีก แต่หากจากสื่ออื่นๆก็คงจะไม่เคยพบเนื่องจาก บ้านฝนไม่มีงบโฆษณาค่ะ อาศัยว่าพอทำเว็บได้ หาเว็บสำเร็จรูปราคาไม่แพง เพื่อแก้ข้อมูล และอัพเดตข้อมูลเอง หาข้อมูลมาใส่เอง ก็สนุกดีค่ะ
เมื่อก่อนตอนมาเรียนมหาวิทยาลัย พอมีคนถามว่า บ้านอยู่ไหน ตอบเค้าไปว่า อยู่อัมพวา ไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่เดี๋ยวนี้ พอบอกว่า "อยู่อัมพวา" ใครๆก็รู้จัก ก็หลงรักอัมพวา กันถ้วนหน้าเลยจ้า
ในเมื่อส่งฝนมาให้เกิดเป็นลูกหลานของคนอัมพวา ฝนจะเก็บรักษาสมบัติของปู่ทวดย่าทวดเอาไว้ให้ลูกให้หลานฝนได้สืบสานความเป็นคนอัมพวาต่อไป ร่วมทั้งยินดีต้อนรับเพื่อนๆที่ต้องการมาเยือนและสัมผัสธรรมชาติของอัมพวาที่บ้านฝนโฮมสเตย์แห่งนี้ (ที่นี่ไม่มีความหรูหรา มีแต่ความเป็นธรรมชาติและความเป็นกันเองค่ะ)
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ฝากความคิดเห็นได้จาก comment ด้านล่าง ขอบคุณค่ะ
ฝน

|